ไปถึงสีลมก่อน6โมงเช้า ขอพันนึง 15มค.ไปขออีกพันห้า (ไม่ให้เกินห้าพัน) แม่แถมค่ายาให้200 กับยาอมมะขามป้อม1ขวด
ยังคงยืนยันจะให้เราไปขายโชห่วยที่นั่นให้ได้ เราบอกนัดส่งงานวันที่15 ขอความช่วยเหลือถึงสิ้นเดือนกุมภา ถ้าไม่ได้จะมาขายต้นเดือนมีนา ถามอย่างดีดีว่าจะซื้อของอย่างไร คำตอบคือ "สามล้อ"
เขาจะให้ลูกชายกับลูกเมีย(ใหม่)ไม่เอ่ยถึงหลานชาย2คน ว่าจะอยู่อย่างไร
ให้ลูกชาย(สุดที่รัก ป่วยปีแป่กอตลอดไป) ไปทำเครื่องกรองน้ำ (ขายมั้ง ไม่ใช่ตู้น้ำ) กับซ่อมบ้านเช่า (หึหึ บ้านเช่าจะมีอะไรซ่อมกันทั้งวี่ทั้งวันเหรอ) ฟังดูเหมือนลูกชายเขาไปทำงานลำบากจังเลย แต่ไม่พูดความจริงตรงที่ ให้ไปเก็บค่าเช่า กินเปอร์เซนต์ หรือได้เงินเดือนเก็บค่าเช่า กำไรขายเครื่องกรองน้ำ (ก็คงจะแม่ออกทุนให้นั่นแหละ)
เที่ยวก่อนพ่อโทรมา(เสียงเหมือนใกล้ตาย)บอกว่า "มาดูแลป๊าหน่อย ๆ ๆ ๆ" (ความจริงก็คือโทร.มาเพราะแม่บอกให้โทร.จิกมันมาขายของที่สีลมให้ได้) พ่อก็เล่นละครไป เงินก็ไม่ได้อยากให้หรอก เพราะเพิ่งเสียให้ผู้หญิงคนล่าสุด สามแสนกว่าบาท แต่เราขอยืมไปทำมาหากิน บอก "ไม่มี" (นี่ยังไม่นับอีกเป็นร้อยละมั้ง ช่วงเกือบ8ปีที่เราไปอยู่ที่อื่น ไม่มีใครตาม ไม่มีใครถาม)
นั่งกอดกันกลม เราก็โทร.ไปบอกว่าเงินไม่พอเปิดบัญชี ช่วยออกเปิดบัญชีให้หน่อย (พ่อบอกจะให้เงินโอนเข้าบัญชีให้) กลับโดนด่าว่า "ทำไมเหลวไหลอย่างนี้" "ไปไม่ได้หรอก ต้องเฝ้าร้าน" (คือต้องเฝ้าผู้หญิง ควบคุมเงิน ไม่งั้นเดี๋ยวผู้หญิงไม่ซื่อสัตย์) ดีนะที่เราเหลือเงินค่ารถจากมีนบุรีไปสีลม หิ้วท้องไปขอยืมคุณนายวิภา (อีกตามเคย) โดนแม่ด่าอีก "ทำไมไม่เรียกอีกดอกว่าแม่ล่ะ เรียกมันสิ เรียกมันว่าแม่สิ" เฮ้ย เราไปเกี่ยวอะไรกับพวกเขาเนี่ย โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
แต่คิดว่าถ้าไม่สำเร็จก็เอาชีวิตเราไปแล้วกัน แปลกดี ลูกสาว(แก่ขนาดนี้) จะให้นั่งขายโชห่วยแข่งกับร้านสะดวกซื้อ วันนึงจะได้กำไรถึง100 200 หรือเปล่า ต้องกินต้องใช้ จะมีเหลือเก็บไว้เป็นค่ารักษาพยาบาลเหรอ ไปไหน ไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ ต้องนั่งแกร่วเฝ้าร้าน ถ้าหลวงเขาเอาที่คืนจะให้เราไปทำมาหากินอะไรต่อ ลูกชายคนเล็กเขาก็ขายของแบบนี้ไม่เป็นหรอก
เวลาหลานสาวนอกไส้มาบ้านนี้ คุณชายป๊อปก็คุยกันดี๊ดี เหมือนยังกับรักกันมาสุดสวาทขาดใจเลย
อย่าไปว่าเขาน่า เดี๋ยวคุณนายวิภาจะว่าเราไปอิจฉาลูกชายกับหลานสาวเขาอีก
ปลงเสียเถอะ ไอ้ปรู
ขอโทษนายแป้งหมักด้วยนะคะ ถ้าบังเอิญมาอ่านเจอ ก็ขอบคุณที่ผลัดกันฟัง แต่ไม่ต้องช่วยเหลืออะไรนะคะ คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะเจอทางออกมั่งล่ะน่า ก็เราไม่ใช่ไอ้ลูกแหง่ หรือปัญญ่าอ่อนอย่างที่พ่อแม่เขามองนี่นา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น