วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เธอสวย (ไม่ง่ะ เค้าไม่สวย)

เธอสวย พี่เจี๊ยบ ผมยาวหยักศก ใส่แว่นกันแดดโต ๆ สีดำ
เพิ่งนึกออกเมื่อคืน คำร้อง พี่เจี๊ยบ สารภี ศิริสัมพันธ์ ทำนองไม่รู้ค่ะ ร้องโดย จั๊ก ดับเบิลยู อิอิ
http://www.youtube.com/watch?v=UTExpsdrHLM&feature=related
เธอสวย - 你很美麗
http://www.youtube.com/user/atdmongma

อยากรู้แต่ไม่อยากถาม

อยากรู้แต่ไม่อยากถาม Calorie Blah Blah 
http://www.youtube.com/watch?v=FASXoJAqG6Y&feature=related
http://www.youtube.com/user/mahjungvdo

MV ฤดูอกหัก - Calories Blah Blah อัลบั้ม Hi-Season
http://www.youtube.com/watch?v=kvfPrB7qayw&feature=related
http://www.youtube.com/user/ake2go

คาราโอเกะ - เพลง คืนที่หนึ่ง - ชินวุฒ อินทรคูสิน - อัลบั้ม : Single คืนที่หนึ่ง
http://www.youtube.com/watch?v=VSenO1rV-9w&feature=related
http://www.youtube.com/user/hisogossip

ETC. สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจ

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจ ETC
http://www.youtube.com/watch?v=XN-PpZ_maew&feature=related
http://www.youtube.com/user/jiggaban
http://www.trendyday.com/live/WebboardPreview.aspx?WID=560

คุณตัน ภาสกรนที

เขาชื่อ...ตัน


อรรถสิทธิ์ เหมือนมาตย์ Positioning Magazine สิงหาคม 2553 0 Comments

Added on: 17/8/2553

ในขณะที่ใครหลายคนเลือกวันที่ 9 เดือน 9 เป็นวันเริ่มต้นสิ่งใหม่ แต่ ตัน ภาสกรนที เลือกที่จะใช้เป็นวันยุติบทบาทการเป็นซีอีโอ ให้กับโออิชิ กรุ๊ป ในเครือข่ายธุรกิจของเจริญ สิริวัฒนภักดี หลังจากที่รับบริหารธุรกิจที่เขาสร้างขึ้นมากับมือนี้ให้เจริญถึง 4 ปีเต็ม ๆ หรือรวมแล้วชีวิตเขาผูกติดกับแบรนด์ “โออิชิ” ทั้งสิ้น 11 ปีเต็ม นับตั้งแต่ให้กำเนิดแบรนด์จนมีฉายาพ่วงท้ายที่คนทั่วประเทศรู้จักว่าเขาคือ “ตัน โออิชิ”



ระหว่าง “จุดสิ้นสุด” กับ “การเริ่มต้น” เป็นคำตรงข้ามที่มีความหมายใกล้กันเสียจนบางครั้งอาจจะหาเส้นแบ่งไม่เจอด้วยซ้ำ เหมือนกับความเชื่อของ ตัน ที่ประกาศไว้ในงานแถลงข่าวลาออกเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ก็แสดงความหมายในนัยนี้เช่นกัน เมื่อเขาบอกว่า เขาต้องการที่เปลี่ยนแปลงเพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเอง ซึ่งถึงวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ย่อมต้องกลายเป็นเรื่องเก่าสำหรับเขาในที่สุด ไม่ว่าเขาจะพยายามบอกว่านี่คือเหตุผลของการลาออกที่สมเหตุสมผลที่สุดของชีวิตการเป็นลูกจ้างระดับซีอีโอในครั้งนี้



เรื่องของโออิชินับจากนี้ คือเรื่องของธุรกิจที่เชื่อว่ายังสลัดจากกลิ่นอายความเป็น “ตัน” ออกไปยาก โปรโมชั่นมันๆ ที่ตันสร้างไว้ ย่อมเป็นที่คาดหวังของผู้บริโภคในปีต่อๆ ไปอย่างไม่ต้องสงสัย โดยที่ผู้บริโภคอาจจะไม่ได้สนใจอีกต่อไปว่า ใครจะมาเป็น “กัปตัน” พาเที่ยวที่ไหนในปีต่อไป



แต่สำหรับตัน การตัดใจสลัดทิ้งนามสกุล “โออิชิ” ดูจะไม่ใช่ปัญหาที่น่าหนักใจ เพราะหากย้อนดูที่ผ่านมา ความสนใจของผู้บริโภคระหว่างเรื่องราวของตันกับเรื่องราวของโออิชิ น้ำหนักของชีวิตตัน ดูจะเป็นที่ถูกใจของผู้บริโภคมากกว่า ลูกค้าโออิชิจำนวนไม่น้อยที่เลือกแบรนด์เพราะ “ถูกใจตัน” หรือแคมเปญของตัน มากกว่าเหตุผลเพราะรสชาติชาเขียวโออิชิที่อร่อยกว่าชาเขียวแบรนด์อื่นเพียงอย่างเดียว



ตันเริ่มเป็นที่รู้จักจากกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง จากการบอกเล่าปากต่อปากของลูกค้าภัตตาคารโออิชิ บุฟเฟ่ต์ ที่ตันหยิบไอเดียของ วันชัย จิราธิวัฒน์ ที่เล่าถึงร้านซูชิบุฟเฟ่ต์ในอเมริกา มาประยุกต์เป็นธุรกิจบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ใช้กลยุทธ์ Celebrity Marketing ดึงไฮโซร่วมมาร่วมหุ้นเป็นการสร้างกระแส ก่อนคำว่า “โออิชิ” พัฒนาเป็นแบรนด์แล้วแตกยอดสู่ธุรกิจชาเขียว ที่กลายเป็นการเปิดตลาดใหม่ให้กับเครื่องดื่มของเมืองไทย



กลยุทธ์ของตัน ช่วงผันตัวเองจากนักธุรกิจภูธรในจังหวัดชลบุรีเข้าสู่ธุรกิจใหม่ในเมืองหลวง คือการทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักด้วยตัวเอง หรือทำให้ธุรกิจเป็นได้รับการพูดถึง ในขณะที่เจ้าของธุรกิจยังเป็นปริศนาว่าใครกันแน่คือตัวจริง ไฮโซที่ร่วมหุ้น ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะเป็นหุ้นลมหรือนักธุรกิจคนไหนกัน เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จกับธุรกิจรูปแบบใหม่กลายเป็นเรื่องที่คนค้นคว้าถามหา จนเมื่อธุรกิจโออิชิบุฟเฟ่ต์อยู่ตัวแล้วนั่นแหละ คนส่วนใหญ่จึงมีโอกาสค่อยๆ รู้จักกับ “ตัน ภาสกรนที”



ช่วงนั้นตัน เริ่มรับเชิญเป็นพิธีกรในงานสัมมนาด้านธุรกิจและการตลาด โดยเฉพาะกับสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เริ่มต้นเล่าให้คนฟังว่า เขาเป็นใคร ทำธุรกิจภัตตาคารบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นขึ้นมาได้อย่างไร รวมทั้งเล่าอย่างเปิดเผยว่า เคยทำธุรกิจอะไร ไปจนถึงเคยล้มเลวจากธุรกิจอะไรมาแล้วอย่างไรบ้าง



ความล้มเหลวทางธุรกิจของตันในอดีต เป็นประสบการณ์ร่วมที่นักธุรกิจส่วนใหญ่ที่ผ่านพ้นวิกฤติช่วงต้มยำกุ้ง ในปี 2540 มาแล้วเข้าใจดี และพร้อมจะชื่นชมหากมีใครสักคนสามารถลืมตาอ้าปากหรือฟื้นกลับสู่ความสำเร็จได้ไหมอีกครั้งหลังจากนั้น



ยิ่งเมื่อได้รู้กันว่า คนอย่างตัน ไม่ได้กลับมาประสบความสำเร็จด้วยการธุรกิจใหม่แค่ธุรกิจเดียว แต่เขายังเป็นคนที่เปิดตลาดใหม่ๆ และรูปแบบการทำตลาดใหม่ๆ ให้กับธุรกิจในเมืองไทยอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกระแส Wedding Studio ถึงขนาดเปลี่ยนทองหล่อเป็นแหล่งรวมสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานที่มีคู่แต่งงานยอมเพิ่มงบสำหรับงานแต่งงานเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งแสน การทำตลาดแบบ Integrated Marketing ระหว่างธุรกิจที่ต่างกันของภัตตาคารบุฟเฟ่ต์กับร้านถ่ายรูป ร่วมทั้งการทำ Co-promotion ที่ทำให้ลูกค้าหนึ่งคนกลายเป็นลูกค้าของทั้งระบบธุรกิจของเจ้าของเดียวกัน



ทั้งหมดคือจังหวะของ “ตันแบรนด์” ที่ต้องมีการ Launch อย่างเหมาะสม เพราะหากเขาเปิดตัวตั้งแต่วันแรกที่ทำธุรกิจ แทนที่จะสร้างประเด็นให้คนติดตาม ความน่าสนใจของตัวตัน ย่อมไม่ส่งผลต่อธุรกิจได้แรงเท่ากับจังหวะที่ผ่านมา



“ตอนนี้หนังสือเริ่มพาดหัวว่า ตัน ภาสกรนที ไม่ใช่ ตัน โออิชิ แล้ว” ตัน ภาสกรนที นักธุรกิจอิสระ หรือเล่าจะเรียกเขาว่าอะไรจึงจะเหมาะสมในช่วงว่างจากตำแหน่งหมาดๆ ยามนี้ กล่าวอย่างภูมิใจมากกว่าจะรู้สึกว่าถูกสื่อลืมบทบาทที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา



เพราะฉะนั้นการที่เขาเคยกังวลว่า หลังจากลาออกจะต้องเร่งให้ตัวเองหลุดจากความเป็น “ตัน โออิชิ” โดยเร็ว จึงไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวลอย่างที่ตันคิดไว้ ถึงแม้ว่าแม้แต่ผลการค้นหาของกูเกิลก็ยังยืนยันไปในแนวเดียวกับที่ตันกังวล เพราะคำว่า “ตัน โออิชิ” มีผลการค้นหามากถึง 368,000 รายการ มากกว่าคำว่า “ตัน ภาสกรนที” ซึ่งให้ผลลัพธ์น้อยกว่าเกินครึ่งแค่ 129,000 รายการ (ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2553) และมากกว่าเพื่อนรักคนใหม่อย่างโน้ส-อุดม ซึ่งมีแฟนจำนวนไม่ถึง 3,000 คน



กระแสข่าวการลาออกจากโออิชิ ของตัน เริ่มต้นจากกลุ่มนักข่าวที่ตามไปทำข่าวตันไกลถึงวิลล่า มาร็อค รีสอร์ตสไตล์โมร็อกโก ที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่ด้วยกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอาจจะแถมด้วยกฎของจังหวะการเปิดตัวที่เหมาะสม ทำให้ตันปฏิเสธว่ากระแสข่าวนั้น “ไม่จริง” แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจเกือบทุกฉบับ ก็กลายเป็นทีเซอร์โฆษณาชั้นดีให้กับแบรนด์ของตันไปโดยปริยาย ก่อนที่ข่าวนี้จะได้รับการยืนยันจากปากของตันหลังจากนั้นไม่เกิน 2 สัปดาห์ต่อมา พร้อมๆ กับหนังสือลาออกที่ตันยื่นไปยังคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ



ในขณะที่ยังไม่มีการเปิดเผยตัวว่านับจากนี้ใครจะมาใช้นามสกุล “โออิชิ” ต่อจากตัน แต่ใครๆ ก็อยากรู้ว่า แล้ว ตัน จะไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร



นั่นเป็นสิ่งที่ตันก็รู้ตัวว่า คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เฝ้าติดตาม ในฐานะนักการตลาดที่ดีย่อมไม่ปล่อยให้การสื่อสารระหว่างแบรนด์และลูกค้าขาดหาย แบรนด์ในที่นี่ก็คือ ตัน ซึ่งแม้จะยังไม่มีสินค้าหรือบริการที่ชัดเจน และต้องมีวิธีให้ลูกค้าคอนเนกกับแบรนด์ได้



ตันเลือกใช้เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก เป็นช่องทางสื่อสาร Personal Brand ของตัวเขาเองกับผู้ชื่อชอบแบรนด์ เขาเริ่มสมัครใช้เฟซบุ๊กในนามตัวเองก่อนหน้าแถลงข่าวลาออกแค่ 2-3 วัน เหมือนที่เคย Create Page ของโออิชิมาก่อนหน้านั้น และได้ภรรยา อิง-สุนิสา ภาสกรนที เป็นคนดูแลคอยอัพโหลดข้อความและรูป



“เรื่องแบบนี้ผมทำไม่เป็นหรอก” ตันบอก แต่รับประกันได้เลยว่า เขารู้ว่า Facebook ใช้ร่วมกับมาร์เก็ตติ้งได้ดี ในการที่จะสื่อสารกับกลุ่มแฟนๆ ได้ต่อเนื่องและตลอดเวลา ในทางกลับกันก็ให้แฟนคลับเข้าถึงความเป็นตันได้สะดวกด้วย



“Facebook เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในโลกออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องการเรียนรู้ประสบการณ์จากผม เอาไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน หรือทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ กลุ่มนี้เยอะมาก”



สิ่งที่ตันตั้งเป้าว่าจะสื่อสารผ่านเฟซบุ๊ก จะมีทั้งประสบการณ์ชีวิต ปรัชญาการดำเนินชีวิต วิธีคิด สาระจากเรื่องส่วนตัว ไปจนถึงเรื่องที่ติดค้างจากการบรรยาย มองอีกมุมก็เหมือนโพรไฟล์อย่างย่อที่จะทำให้ทุกคนรู้จักตันได้ในเวลาไม่กี่นาที เพราะนอกจากคำพูดจากตัน ในเฟซบุ๊กของเขาจะมีทั้งภาพออกงาน หนังสือ ภาพกิจกรรมที่ทำกับงานและครอบครัว รวมทั้งวิดีโอที่ไปออกรายการสนทนาที่มีสาระในที่ต่างๆ



หลังเปิดได้ไม่ถึง 1 เดือน ยอดของแฟนที่เพิ่มขึ้นใน Fans Page “ตัน ภาสกรนที” พุ่งขึ้นไปถึง 13,120 คน (ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2553) เพราะฉะนั้นถึงช่วงนี้หน้าข่าวอาจจะรอให้ชื่อของตัน กลับมาสร้างบทบาททางธุรกิจใหม่ แต่ที่เฟซบุ๊กแฟนคลับตัน เจอเขาได้ทุกวัน



สู่วิถีใหม่แบรนด์ตัน



ตัน มีแผนที่จะไม่หยุดการสื่อสารกับกลุ่มแฟนคลับของเขาแค่หน้าเฟซบุ๊ก เขายังมีพ็อกเกตบุ๊กไว้ตอบโจทย์กลุ่มแฟนที่รักการอ่าน และมีแผนจะเปิดทอล์กโชว์ตามมาด้วย เดี่ยวไมโครโฟน ของตัน ที่ได้โน้ส อุดม แต้พานิช เดี่ยวไมโครโฟนระดับตัวพ่อมาเป็น “โปรดิวเซอร์” เพื่อสื่อสารกับคนกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้น



แนวคิดนี้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ตันเริ่มรู้จักกับโน้ส-อุดม แต้พานิช ผ่านการแนะนำจากน้องกิ๊ฟท์- วริษา ภาสกรนที ลูกสาวคนโตจากภรรยาคนแรกของตัน “โน้ส” ก็ทำให้ “ตัน” และ “ตัน” ก็ทำให้ “โน้ส” เป็นที่น่าสนใจมากขึ้นซึ่งกันและกัน รวมทั้งจับตามองว่า ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จะพากันไปถึงไหน



แบรนด์ทุกแบรนด์ต้องมีเรื่องราวของตัวเอง น่าจะถือเป็นโจทย์ใหม่สำหรับตัน เพราะหลังจากจบเรื่องราวของโออิชิไปแล้ว ชีวิตบทใหม่ของตันจะทำให้แบรนด์นี้มีหน้าตาอย่างไร



สมัยเป็น “ตัน โออิชิ” คุณลักษณะของแบรนด์ที่สะท้อนออกมาคือ การทำตลาดแหวกแนว พร้อมและกล้าที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง บุคลิกนี้ติดตัวตันมามากกว่าที่จะทิ้งไว้ในขวดโออิชิ



“ที่ผ่านมาในแง่ของแบรนด์ ตันเป็นแบรนด์ที่มี Story น้อยไป และยังผูกกับติดโออิชิ” ผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์แสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกับภาพลักษณ์ของตัน และเปรียบเทียบความแตกต่างของ Personal Branding ของตัน กับวิกรม กรมดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นบุคคลที่มี Self Branding ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง



“ตันแตกต่างจากวิกรมที่วาง Positioningของการเป็นนักธุรกิจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยชีวิตโลดโผน ผ่านการลองผิดลองถูกของชีวิตด้านบวกและด้านลบ เป็น Story Tailing ที่ชัดเจน”



หากเทียบกับ Personal Branding ตัวพ่ออย่างวิกรม ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่า Story ของตันเบากว่ามาก แต่อย่างไรก็ถือว่ายังมีเรื่องราวให้เล่า และความแตกต่างที่ชัดเจนอีกอย่างก็คือ ตัน ถือว่าสร้างเรื่องราวการเป็นผู้แสดงบทบาทของผู้บริหารที่พร้อมแสดงเอง เอาหน้าเป็นแบรนด์การันตีสินค้า ซึ่งถือเป็นเรื่องราวที่ทำให้เขาเป็นที่น่าสนใจมากกว่าประสบการณ์การฟื้นตัวจากความล้มเหลวในการทำธุรกิจ ซึ่งกลายเป็นเคสที่มีให้เห็นกันมากมายแล้วในหลายธุรกิจ



แต่แบรนด์ตันนับจากนี้จะเป็นอย่างไร ตันจะสร้างบุคลิกใหม่ให้กับตัวเองหรือยังคงคุณลักษณะของแบรนด์เดิมไว้ เป็นเรื่องท้าทายของตันที่หลายคนเฝ้าดูและอีกจำนวนไม่น้อยเฝ้าลุ้น



และแน่นอนว่า เวที “เดี่ยวกับตัน” น่าจะเป็นใบเบิกทางที่ดีสำหรับการสร้างไอเดนติตี้ให้กับแบรนด์ “ตัน ภาสกรนที”







Read more: http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=88631#ixzz0yB7aGgXv

Under Creative Commons License: Attribution Non-Commercial No Derivatives

คุณพันชนะ วัฒนเสถียร

http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=88628

A Team Behind the Scene

สุกรี แมนชัยนิมิต เอกวสา สุขส่ง Positioning Magazine สิงหาคม 2553 0 Comments

Added on: 17/8/2553
ตั้งแต่การออกพ็อกเกตบุ๊ก “ผมจะเป็นคนดี” จนถึง ”ละครไฟอมตะ” และแผนการเดินทางมองโกเลีย 6 เดือน เพื่อทำสารคดีเสนอออกช่องดิสคัฟเวอรี่ หรือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกในอนาคต คือการทำให้แบรนด์ของ ”วิกรม กรมดิษฐ์” มีเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนอกจาก ”วิกรม” จะเดินเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเองแล้ว ทีมงานยังมีส่วนสำคัญ ซึ่งแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ตั้งแต่ผู้จัดการมูลนิธิ ไปจนถึงการคัดเลือก และนำเสนอรายการที่ควรไปออกอากาศ หรือแม้กระทั่ง SMS แจ้งเครือข่ายแฟนคลับ ”วิกรม” ให้เตรียมชม ”ไฟอมตะ” ก่อนออนแอร์

เริ่มจากความดังแรกหนังสือพ็อกเกตบุ๊ก ”ผมจะเป็นคนดี” ที่เขาเล่าอัดเทปเอาไว้ และให้นักข่าวถอดเทปเก็บไว้ จนวันหนึ่งถูกรื้อขึ้นมาเพื่อทำเป็นพ็อกเกตบุ๊ก เพราะเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เขาได้พูดคุย ”พันชนะ วัฒนเสถียร” อดีตทนายความที่จบจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีประสบการณ์หลากหลาย โดยเฉพาะการทำหนังสือ ตั้งแต่เขียนจนถึงพิสูจน์อักษรให้กับคุณพ่อที่เป็นผู้พิพากษา เมื่อ ”พันชนะ” ได้ร่วมงาน ”วิกรม” จากเดิมที่คิดจะช่วยเพียงการทำหนังสือเล่มแรก โดยติดต่อ ”ประภัสสร เสวิกุล” ให้เป็นผู้เรียบเรียงเรื่องราว ”ผมจะเป็นคนดี” หนังสือวางแผงแล้ว ได้รับการตอบรับอย่างดี แต่เรื่องราวยังไม่จบ จึงทำให้ ”พันชนะ” ทำงานอย่างเต็มตัวกับ ”วิกรม” ในตำแหน่งผู้จัดการมูลนิธิ บรรณาธิการหนังสือ และอีกหลายหน้าที่ที่อำนวยความสะดวกให้ ”วิกรม” มีสื่อออกมาอย่างต่อเนื่อง

“พันชนะ” เล่าว่าทั้งหมดเป็น By Product เช่น การออกรายการวิทยุ ก็สามารถนำเนื้อหามาถอดเทป หรือการเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ ก็สามารถนำมารวมเล่ม จนปัจจุบันมีหนังสือ “มองซีอีโอโลก” เล่มที่ 7 ที่กำลังจะออกในเดือนตุลาคมนี้ และอีกเล่มภายในสิ้นปี คือ “กินอยู่อย่างวิกรม”

สำหรับข้อมูลต่างๆ ที่ ”วิกรม” นำมาพูดในรายการ CEO Vision วิทยุคลื่น 96.5 โมเดิร์นไนน์ เรดิโอ ปัจจุบันมีทีมงานเพียง 1 คนที่คอยสนับสนุน โดยย่อยจากข้อมูลที่สะสมไว้ในช่วงแรกที่เขาจ้างนักศึกษาปริญญาโท 8 คนตามเก็บวิสัยทัศน์ของซีอีโอโลกไว้ ส่วนหัวข้อหรือประเด็นอื่นๆ ตามสถานการณ์ต่างๆ นั้นปัจจุบันส่วนใหญ่ ”วิกรม” ดำเนินการด้วยตัวเอง โดยแจ้งกับทีมงาน รวมทั้งแจ้งต่อผู้ดำเนินรายการวิทยุก่อน

ส่วนการออกสื่อรายการต่างๆ นั้น จะมีทีมงานคนหนึ่ง ที่รู้จักกับคนในแวดวงรายการทีวี ที่เขาจะมีการนำเสนอประเด็นต่อรายการต่างๆ บ้าง แต่ไม่มาก เพราะความจำเป็นที่มูลนิธิ เริ่มมีหนังสือออกมาจำนวนมาก แม้ว่าโดยเรื่องราวของ ”วิกรม” จะเป็นที่น่าสนใจ และมีรายการต่างๆ ติดต่อมาเป็นระยะอยู่แล้ว แต่เพื่อให้ความต้องการช่วยเหลือสังคมตามเจตนารมณ์ของ ”วิกรม” ได้ผลจริง การอยู่ในกระแสจึงมีความจำเป็น

“พันชนะ” เล่าว่าส่วนใหญ่ที่ ”วิกรม” ไปออกรายการนั้น กว่า 90% คือรายการนั้นติดต่อมาเอง แม้จะมีรายการสนใจติดต่อมาจำนวนมาก แต่ก็ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับตัวตนของ ”วิกรม” เป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมา ”พันชนะ” ยืนยันว่าไม่เคยมีที่ปรึกษาสร้างแบรนด์ หรือต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อมีเดีย

สอดคล้องกับวิธีของ ”วิกรม” ที่เล่าว่า ”ทำรายการวิทยุเพราะเริ่มจาก ”สุภาพ คลี่ขจาย” ชวนไปจัดที่คลื่น 97 ตอนหลังก็ถูกชวนไปที่ 96.5 ซึ่งมีแต่คนมาขอ ไม่ได้ไปเสนอ หรือแม้แต่รายการของช่อง 5 เกี่ยวกับซีอีโอโลก ก็ถูกขอให้ไปทำ หรือในโพสต์ทูเดย์ให้เขียนคอลัมน์ เขาก็มาขอให้ไปทำ คือทุกอย่างเราได้รับการทาบทาม เราไม่ได้นึก เราไม่ได้เคยคิด ไม่ได้จ้างเขาก็เขามาสัมภาษณ์ ที่นี่หมอชิต ทุกรายการที่มา เขามาติดต่อ เพียงแต่มีลูกน้องคนหนึ่งเขาอาจรู้จักคนโน้นคนนี้เยอะ มดดำ (รายการตีท้ายครัว) ก็ติดต่อมา เราไม่เป็นเจ้าของเรายการ หรือมีอะไรกับรายการ ไม่เคยเป็นสปนอเซอร์ ไม่เคยบอกว่าฉันจะช่วยเธอ อาจมีช่วยเขา ติดขัดก็ช่วย แต่ไม่ใช่เป็นอินเทนชั่นต้องทำโน่นทำนี่”

แต่ด้วยสไตล์ของ ”วิกรม” ที่เข้าใจสื่อ อย่างที่เขาบอกว่าก็นึกถึงหัวอกสื่อ บางครั้งเขาอยากให้เราไปโน่นไปนี่ เราก็ถือว่าเขาเป็นส่วนกระจายข้อมูลให้เรา เราก็โอเค ก็ยินดี

ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังของแบรนด์ ”วิกรม กรมดิษฐ์” คือมืออาชีพอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนเป็นธรรมชาติให้แบรนด์บุคคลอย่างเขาติดและเป็นที่จดจำต่อเนื่อง

เกือบ 10 ปีในวงการสื่อ กับกระบวนการ IMC
สื่อ ปี 2551 ปี 2552 ปี 2553 (ม.ค.-พ.ค.)
--------------------------------
ทีวี ประมาณ 40 ครั้ง ประมาณ 45 ครั้ง ประมาณ 32 ครั้ง
รายการประจำ “หมุนตามโลก” รายการประจำ ”หมุนตามโลก” รายการประจำ ”หมุนตามโลก”
สัมภาษณ์ เช่น ชีพจรโลก สัมภาษณ์ เช่น “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” / จับเข่าคุย สัมภาษณ์เช่น ”สุริวิภา” / ”ตีท้ายครัว”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยาย/สัมมนา* 12 ครั้ง 11 ครั้ง 4 ครั้ง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิทยุ ** - 14 ครั้ง 9 ครั้ง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ให้สัมภาษณ์/ถ่ายภาพ

สื่อสิ่งพิมพ์ 18 ครั้ง 19 ครั้ง 9 ครั้ง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พรีเซนเตอร์ ฮาร์ทตี้ เบเนคอล - - สปอนเซอร์ละครไฟอมตะ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ละครไฟอมตะ ทุกเสาร์-อาทิตย์

เมษายน-กรกฎาคม

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------*ในการออกงานต่างๆ ยังมีงานแจกลายเซ็นในงานเปิดตัวหนังสือ และเปิดตัวละครอีกด้วย
**นอกจากนี้ยังมีรายการวิทยุปัจจุบัน
1.CEO Vision ที่จัดประจำพฤหัส-ศุกร์ 09.15-10.00 น. ในคลื่น 96.5 คลื่นความคิด โมเดิร์นไนน์ เรดิโอ ซึ่งมี ”วิชัย วรธนานีวงศ์” เป็นพิธีกร
2.สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย 92.5 เที่ยงวันพุธ เวลา 15 นาที
*รายการวิทยุในอดีต 97 กับ ”สุภาพ คลี่ขจาย” และ ”นราพงษ์ ไวยวรรณ” ปี 2544-2547
ที่มา : POSITIONING รวบรวม และมูลนิธิอมตะ

Read more: http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=88628#ixzz0yB4g0mNo

Under Creative Commons License: Attribution Non-Commercial No Derivatives

ขอขอบคุณ POSITIONING MAGAZINE

คุณวิกรม กรมดิษฐ์ (ทดลองก๊อปมา รูปไม่มา)

ถอดรหัสกระบวนสร้างแบรนด์ “วิกรม กรมดิษฐ์”


สุกรี แมนชัยนิมิต เอกวสา สุขส่ง Positioning Magazine สิงหาคม 2553 0 Comments

Added on: 17/8/2553

“วิกรม กรมดิษฐ์” กลายเป็นซีอีโอที่ดังจนฉุดไม่อยู่ เป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบของคนจำนวนมากในการต่อสู้และไม่ยอมแพ้ เนื้อหาว่าด้วยเรื่องของ ”ผมจะเป็นคนดี” “นักธุรกิจที่เกือบจะฆ่าพ่อของตัวเอง” ถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกชื่อของ ”วิกรม” ไม่เคยห่างหายไปจากสื่อ เขากลายเป็นบุคคลที่อยู่ในสปอตไลต์ทั้งบนชั้นพ็อกเกตบุ๊กเกือบ 10 เล่ม ยอดพิมพ์นับล้าน และจะตามมาอีกไม่รู้จบ แรงบนคลื่นวิทยุเกือบทุกวัน ผ่านตัวอักษรกับการเป็นคอลัมนิสต์บนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ โชว์ตัวรายการวาไรตี้ ทอล์กโชว์เป็นระยะ และเป็นซีอีโอคนแรกในไทยที่ชีวิตถูกถ่ายทอดเป็นละคร ในเรื่อง ”ไฟอมตะ” ที่ออนแอร์โมเดิร์นไนน์ในช่วงไพรม์ไทม์ จนเป็นแรงส่งให้ Mass รู้จักเขามากขึ้น เรตติ้งนี้ทำให้เขาไม่ลังเลที่จะส่งออกเรื่องราวของเขาสู่ต่างประเทศ รวมไปถึงโปรเจกต์ใหม่อย่างการท่องเที่ยวนาน 6 เดือน เพื่อเล่าเรื่องผ่านช่องสารคดีอย่างดิสคัฟเวอรี่ หรือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก

นี่คือ Best Practice ของการสร้างแบรนด์บุคคล ( Personal Branding) ที่ต้องอาศัยการกำหนด Image Maker อย่างดี ซึ่งแม้ ”วิกรม” ยืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้อยากดัง และไม่ได้วางแผนมาก่อน แต่เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการจะเป็นคนดัง มีชื่อเสียงนั้น ต้องทำอย่างไรบ้าง และสุดท้ายเขาก็ไม่อาจปฏิเสธ ”ความดัง” เพราะคือจุดพลิกให้เรื่องราวที่เขาคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมขยายวงได้มากยิ่งขึ้น

Positioning ชัด
“ผมจะเป็นคนดี-พอเพียง-คืนสังคม”
ตั้งแต่การออกพ็อกเกตบุ๊กเล่มแรก ”ผมจะเป็นคนดี” จนถึงจัดรายการวิทยุ ออกรายการทีวีต่างๆ และล่าสุดกับละครไฟอมตะ “วิกรม” ได้แสดง Positioning ของตัวเองอย่างชัดเจนผ่านคำพูดและการกระทำ ที่เป็นไปตามกระแสโลกในยุคปัจจุบัน ที่สังคมจะยอมรับคนมีชื่อเสียงสักคนหนึ่งนั้น จะวัดจาก 1.Attitude towards life หรือทัศนคติในการใช้ชีวิต ที่มองโลกในแง่บวก และมีความหวัง และ2.Philanthropic แนวคิดในการตอบแทน หรือคืนประโยชน์ต่อสังคม การรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

“วิกรม” แสดงจุดยืนในการใช้ชีวิตด้วยการมองโลกในแง่บวก มีความหวัง ต่อสู้ อดทน จนได้มาซึ่งความสำเร็จ แม้จะทะเลาะกับพ่อ จนถึงจะฆ่าพ่อ ล้มเหลวในธุรกิจช่วงเริ่มต้น ล้มเหลวในชีวิตแต่งงาน หรือแม้กระทั่งทำผิดในการให้ผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตทำแท้งถึงสิบกว่าคน ที่ยากที่สังคมจะยอมรับได้ แต่ ”วิกรม” ได้เล่าถึงการต่อสู้อุปสรรคทั้งหมดจนสามารถสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ภายใต้ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมอาณาจักร ”อมตะนคร” ที่ไม่เพียงทำให้ครอบครัวพี่น้อง ที่เขาบอกว่ามีอีกกว่า 50 ชีวิตที่เขาต้องดูแล มีความสุขสบายเท่านั้น แต่สิ่งที่เขามักบอกเล่าเสมอคือการสร้างงานให้คนในนิคมอุตสาหกรรมนับแสนคน เป็นแหล่งผลิตจีดีพีให้ประเทศถึง 7% ของจีดีพีทั้งหมดที่มูลค่ารวมประมาณ 7 ล้านล้านบาท

จุดยืนที่มีแนวคิดการตอบแทนสังคม และรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ”วิกรม” กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง จากเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เขาคิดว่าควรจะเผยแพร่เรื่องราวด้านมืดของตัวเองเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อแบ่งปันสังคม อย่างที่เขาให้สัมภาษณ์กับทีม ”POSITIONING” ว่า “อดีตของตัวเองน่าจะเป็นแผนที่ หรือเข็มทิศให้คนอื่นได้”

การบอกเล่าด้านมืดเพื่อเป็นประสบการณ์ให้คนอื่นเรียนรู้ในทางลัด ทำให้ “วิกรม” กลายเป็นซีอีโอที่ได้รับความสนใจ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยนำเงินส่วนตัวในการตั้งมูลนิธิอมตะ แต่ก็ไม่ดังเท่าปัจจุบัน เพราะซีอีโอช่วยสังคมในด้านต่างๆ นั้นมีอยู่อย่างดาษดื่น หรือซีอีโอที่วางมือจากการบริหารงานประจำอย่างที่เขาวางมือที่บริษัทอมตะ คอร์ปอเรชั่น ในวัย 48 ปี ก็ยังไม่แรงพอ เพราะเขายังรั้งตำแหน่งซีอีโอ และปล่อยให้น้องชายคือ ”วิบูลย์ กรมดิษฐ์” บริหารและเป็นผู้ออกมาบอกเล่าเรื่องธุรกิจของอมตะ โดย ”วิกรม” จะไม่แสดงบทบาทชัดเหมือนอย่างเศรษฐีโลกหลายคนทำ เช่น บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ ที่ตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสังคม และตั้งผู้บริหารที่ร่วมก่อตั้งกันมาคือ ”สตีฟ บาลเมอร์” มาดูแลไมโครซอฟท์แทน เพื่อแยกภาพระหว่างนักธุรกิจและเศรษฐีใจบุญให้ออกจากกัน

วิธีการเล่าเรื่องราวของ ”วิกรม” เกี่ยวกับเกือบจะฆ่าพ่อนั้น เป็นชีวิตที่ดราม่า ไม่มีซีอีโอคนไหนเคยเล่ามาก่อน นี่คือ Emotional ที่เรื่องราวของเขาสะดุดอารมณ์ของผู้ได้ยิน จนหันมาฟังเรื่องราวและจุดยืนของเขาในชีวิตด้านอื่นๆ ตามมา

แนวทางการทำเพื่อสังคมของ ”วิกรม” นั้น ชัดและแตกต่าง เขาไม่ได้ใช้เงินมหาศาลเหมือนอย่างคนอื่นๆ เขาเลือกใช้เรื่องราวของตัวเองผ่านพ็อกเกตบุ๊ก ”ผมจะเป็นคนดี” ต่อยอดไปถึงรายการวิทยุ ที่เสียงที่พูดไปแล้วนำมารวมเป็นหนังสือเล่มขายได้อีก กิจกรรมของมูลนิธิจึงเริ่มเทน้ำหนักในการทำโปรดักต์เหล่านี้ให้เข้าถึงมวลชน เพื่อนำส่งผ่านเจตนารมณ์ของ ”วิกรม” ที่ต้องการเผยแพร่ข้อคิด และความรู้ถึงผู้คนให้มากที่สุด มากกว่าการบริจาคเงิน ตามที่ ”วิกรม” ยืนยันคือ “มีคนมาขอเยอะ แต่ก็ไม่ได้ให้ ก็มันเงินของเรา” ซึ่งการคืนสู่สังคมในรูปตัวเงินนั้นทุกวันนี้มี 2 โครงการหลักๆ คือ รางวัลนักเขียนอมตะ ที่จัดมาแล้ว 3 ปี และโครงการประกวดศิลปกรรมอมตะ อาร์ต อวอร์ด จัดมาแล้ว 4 ปี โดยที่เลือกบุคคลที่สมควรได้รับรางวัลจากคณะกรรมการมูลนิธิที่ปัจจุบัน มี ”อานันท์ ปันยารชุน” เป็นประธาน

Consistency

แสดงจุดยืนอย่างคงเส้นคงวา

นักสร้างแบรนด์หลายคนอดที่จะชื่นชมวิธีของ ”วิกรม” ไม่ได้ เพราะไม่เพียงเขาแสดงจุดยืนชัดเจนเท่านั้น แต่ยังสามารถนำเสนอได้อย่างคงเส้นคงวา ชนิดที่ว่าไม่หลุดจากเส้นทางที่วางไว้ ซึ่งสำคัญมากสำหรับการกำหนดภาพลักษณ์ของแบรนด์ ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ที่ไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความจดจำ

หากพิจารณาตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่เห็นและจดจำทันที กรณีของ ”วิกรม” จากสูทผูกไท กลายเป็นเสื้อผ้าฝ้าย กางเกงเล หรือผ้าเนื้อเบา คือภาพที่คนจดจำ เพราะไม่ว่าจะไปออกรายการทีวี ออกงานเปิดตัวหนังสือ งานกึ่งทางการ ไปสัมภาษณ์ที่บ้าน “วิกรม” จะอยู่ในชุดที่ไม่หลุดหรือแตกต่างจากเดิม เหมือนอย่างในวันสบายๆ ที่เขาใหญ่ ที่เขาโชว์ให้ทีม POSITIONING ดูว่าชุดเขานี้กางเกงก็ประมาณ 130 บาท แถบชายกางเกงก็เริ่มลุ่ย ส่วนเสื้อก็ไม่เกิน 200-300 บาท เท่านั้นเอง และชุดนี้ก็เพิ่งต้อนรับแขกชาวต่างชาติที่เพิ่งมาเยือนเช่นกัน หรืออีกชุดหนึ่งที่ใส่ออกรายการไนน์ เอนเตอร์เทน เพื่อโปรโมตละครไฟอมตะ ก็มีเสื้อกั๊กที่เขาใส่มาแล้วประมาณ 10 ปี

ความคงเส้นคงวา ผ่านเรื่องราว ที่เน้นย้ำในทุกสื่อว่า ”ผมจะเป็นคนดี” และความ ”พอเพียง” ผ่านกระบวนการสื่อสารครบวงจรชนิดเทียบเท่ากับ IMC ของสินค้า ตั้งแต่การออกพ็อกเกตบุ๊กเมื่อปี 2547 การจัดรายการวิทยุอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2544 เป็นคอมเมนเตเตอร์ในรายการทีวี คอลัมน์นิสต์ในหนังสือพิมพ์ ออกอีเวนต์สัมมนา แจกลายเซ็น การให้สัมภาษณ์รายการวาไรตี้ต่างๆ จนถึงละครทีวี ”ไฟอมตะ” ที่ทำให้ตัวอักษรใน ”ผมจะเป็นคนดี” มีชีวิต และทำให้แบรนด์ของเขายิ่งแข็งแรง ในกลุ่ม Mass

ในปี 2553 เขาจะย้ำถึงการทำในสิ่งที่ชอบ และพอใจด้วยการเดินทางด้วยคาราวานรถบ้าน 5 คัน ที่เขาสั่งบริษัทญี่ปุ่น Home Motor สร้างขึ้น ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ด้วยแผนทำสารคดีท่องเที่ยว มีทีมงาน 10 คน ตั้งแต่แม่บ้านทำอาหารจนถึงช่างกล้องมืออาชีพ โดยไปประเทศแรกคือมองโกเลีย นาน 6 เดือน และในปีต่อๆ ไปอาจะเป็นทิเบต และจีน

แนวคิดของเขาคือการทำสารคดีแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ที่กิน เสริมด้วยข้อมูลความรู้ความเป็นมาของที่แห่งนั้น และนำเสนอต่อช่องสารคดีต่างประเทศ อาจเป็นเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก หรือดิสคัฟเวอรี่ ชาแนล เพราะจุดยืนเขาคือตลาดโลกใหญ่กว่าตลาดไทย แล้วทำไมถึงไม่ฝันให้ไกลเพื่อส่งออกสินค้าไทยบ้าง

ในอนาคตยังมีพ็อกเกตบุ๊ก “My Lady” ที่เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของ ”วิกรม” ที่เดิมจะออกจำหน่ายในปีนี้ แต่เพราะละครไฟอมตะที่ออนแอร์ในปีนี้ เน้นนำเสนอเรื่องราวการต่อสู้ชีวิต จึงพัก My Lady ไว้ก่อน ซึ่ง ”วิกรม” บอกว่าเพราะเกรง ”จะทำให้หนังเขาสะเทือน”

My Lady เป็นเนื้อหาที่ ”วิกรม” ตอกย้ำความคิดในการแบ่งปันบทเรียนในอดีตต่อสังคมอีกครั้งในเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงหลายคนในชีวิตที่ต้องไปทำแท้ง ที่เขาบอกว่า อดีตความเป็นเพลย์บอยของเขาน่าเป็นแนวทางให้กับวัยรุ่นในปัจจุบันที่มีจำนวนถึงเกือบ 2 หมื่นคนที่ตั้งท้องตั้งแต่อายุ 15 ปี ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะดูแลเลี้ยงดูเด็กที่จะเกิดมา

“วิกรม” มั่นใจว่า My Lady จะขายดีเป็นล้านเล่ม เพราะความเป็นตรงของเขาที่สังคมรับรู้เมื่อมาเล่าถึงเรื่องในมุ้งของวิกรม คนก็ต้องสนใจ โดยวิธีนำเสนอแม้จะไม่ได้มีรูป หรือชื่อจริงของใคร แต่จะมีจดหมายที่ผู้หญิงหลายคนได้เขียนถึงความหลังการพบรักกับ ”วิกรม”

เรียกได้ว่ากระบวนการตอกย้ำจุดยืนของเขา มีการดำเนินการผ่านทั้งสื่อ Above the line และ Below the line อย่างสมบูรณ์แบบ

Authentic ตัวจริง ก็อยู่นาน

เมื่อแบรนด์เกิดได้แล้ว ระยะเวลาคือการพิสูจน์ว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ หลายครั้งในการตอกย้ำตัวตน จนบางครั้งอารมณ์ขึ้นเมื่อถูกถามซ้ำ ทดสอบอารมณ์เขาอยู่ตลอดเวลา แต่คำตอบก็ไม่หลุดไปจากเดิม เขามีทัศนคติการใช้ชีวิตโดยมี ”ความชอบ” เป็นหลัก คืออีกหนึ่งจุดยืนที่ ”วิกรม” แสดงให้เห็นว่าไม่ละทิ้งตัวตน แม้สิ่งนั้นจะทำให้เกิดการตั้งคำถามและข้อถกเถียงเรื่องความพอเพียงก็ตาม โดยเฉพาะการใช้รถหรูอย่างรถสปอร์ตหลายคัน ที่รวมมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท เพราะเขามักให้สัมภาษณ์เสมอว่าคือ “ความชอบ และมีเงินที่จะซื้อได้” เป็นความชอบที่มีมานาน และไม่ต้องละเลิก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ แม้ว่าในอีกมุมหนึ่ง ”วิกรม” ได้แสดงให้เห็นถึงการแต่งกายอย่างพอเพียง และอยากหาเวลาปลีกวิเวกอยู่บ้านและถ้ำ แต่ก็สร้างขึ้นบนพื้นที่ 30 ไร่บริเวณใกล้เขาใหญ่ก็ตาม

“วิกรม” ไม่ละทิ้งตัวตนที่แท้จริง ทั้งในเรื่องของการมองโลกในแง่บวกมีความหวัง ผ่านงานต่างๆ ที่สื่อออกไป แม้จะมีหลายอย่างที่คนมองว่า ”เว่อร์” แต่ ”วิกรม” คือ ”วิกรม” อย่างที่เขาบอกดังนี้

“ความจริง อย่าไปตอแหล อย่าไปหลอกลวง ทำอะไรที่เป็นตัวตนของเรา อย่าไปกังวล เราก็ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เราต้องอย่ามีอะไรแอบแฝงในการทำอะไร ผมว่าถ้าเราทำอะไรทุกอย่าง ทั้งหมดทำด้วยใจ ทำด้วยความเป็นจริง ความเป็นตัวตน ก็จะทำให้เกิดความเป็นจริง


เราทำเพราะคิดว่าเป็นประโยชน์ อันแรกคือเป็นประโยชน์กับตัวเราก่อน อย่าไปบอกว่าทำเพื่อชาติ อย่าไปหลอกลวง ประโยชน์คือความสุขความพึงพอใจ ถ้าทุกคนมีพื้นฐานอย่างนั้นก็เป็นความสุข ถ้าเราไม่มีอะไรแอบแฝง เราพึงพอใจ แล้วทำขยายวง คนอื่นได้ประโยชน์ได้ดีด้วย ก็ทำให้การกระทำของเรามีได้กับได้ และมันไม่ฝืน การที่ทำแล้วไม่ฝืน ก็จะกลายเป็นความจริง และมนุษย์ต้องอยู่ได้ด้วยความจริง ถ้ามัวไปหลอกลวงสังคม โกหกตัวเอง ทำอะไรก็มีอะไรแอบแฝง ไม่บริสุทธิ์ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

ในอีกมุมหนึ่งที่ยังคงต้องรอเวลาพิสูจน์คือคำถามที่ว่าจะเล่นการเมืองหรือไม่ ซึ่งเป็น ”จุดเสี่ยง” ที่จะทำให้แบรนด์ของ ”วิกรม” เสียหรือไม่ เพราะตลอดเวลาคำตอบของ ”วิกรม” คือไม่สนใจ และไม่มีวันเล่นการเมือง เหตุผลที่ชัดเจนของเขาคือไม่ชอบ และไม่อยาก เพราะฉะนั้นหากเขาคือตัวจริง จะไม่มีใครเห็นเขาในเส้นทางการเมืองนี้ในอนาคต

Related from Positioning Magazine
CEO Branding ละครชีวีต “วิกรม...
13 days agoวิกรม กรมดิษฐ์ ใส่ชีวิต...
82 days agoA Team Behind the Scene
10 days ago
Read more: http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=88627#ixzz0yB2IdwPr
Under Creative Commons License: Attribution Non-Commercial No Derivatives
ขอบคุณ Positioning Magazine มาก ๆ ค่ะ

เว็บสอนการเขียนบล็อคขั้นเทพ

http://siamblogspot.blogspot.com/

ฟรี ทำเว็บ HTML CSS จำนวนจำกัด เริ่มวันพุธ ที่ 1 กันยายน 2553

http://www.rongrean.com/itTalkRegister.jsp


เว็บสำเร็จรูป MakeWebEasy
สร้างเว็บ แบบมืออาชีพ ด้วยตัวเอง ได้เว็บ สวยหรู Design ไม่ซ้ำใคร
http://www.makewebeasy.com/

BACH

Johann Sebastian Bach

http://en.wikipedia.org/wiki/Johann_Sebastian_Bach

http://www.youtube.com/watch?v=0zpaPX_5hwo&feature=related
Soprano Saxophone
Air from Suite No.3

Mozart

Wolfgang Amadeus Mozart
http://en.wikipedia.org/wiki/Wolfgang_Amadeus_Mozart

http://www.youtube.com/watch?v=df-eLzao63I
Wolfgang Amadeus Mozart - Piano Concerto No. 21 - Andante
http://www.youtube.com/user/poloshia

KITARO

Matsuri ** Thank you ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=GGtKxbu7vLI
http://www.youtube.com/user/Chankleta

-ขอบคุณมากค่ะ สำหรับการติดตาม

แต่อยากจะรบกวนขอให้ช่วยลบ account บรรทัดที่ 2 parmaple ออกให้หน่อยได้ไหมคะ เพราะว่าที่ตั้งใหม่เผื่อไม่อยากให้คนตามเจอว่าตัวจริงเป็นใคร หรือตามว่าอยู่ที่ไหนน่ะค่ะ มีความจำเป็นส่วนตัวนิดหน่อยค่ะ แต่ที่จะอยาก post จะยังเหมือนเดิมค่ะ

ขอบคุณค่ะ
fannyknit

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

CEO VISION ศุกร์ 27 สค.53 (ครั้งที่ 209)

DVD ไฟอมตะ อาทิตย์หน้าคงจะออกแล้วนะครับ เป็น 7 ชั่วโมง ฉบับย่อ ถ้าอยากดูฉบับเต็ม 10 กว่าชั่วโมง แฟนรายการได้ก่อนนะครับ ส่งคำถาม ทันสมัย คำถามแรง ๆ ที่คุณวิกรมจะกล้าตอบหรือเปล่า ส่งมาใจความคำถาม เฮงเซอร์วิส ทำเขียน พาเที่ยว ให้ข้อมูล (บุคคลสาธารณประโยชน์ค่ะ)

คุณโต้ง ศิษย์ห้วยลาด คุณวิกรมเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดกับการตั้งกระทรวงพุทธศาสนามาพัฒนาศาสนาพุทธ และแก้ปัญหาพระที่มีอยู่ทุกวันนี้ คุณโต้งเป็นศิษย์ห้วยลาดหรือเปล่าครับ

ตอบ คุณโต้ง ก็ที่จริงผมไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาเท่าที่ควร แต่คิดว่าปัญหาของพุทธศาสนาที่เรามีอยู่กันทุกวันนี้ เท่าที่ผมเข้าใจก็คงเป็นเรื่องกฎเกณฑ์ ตรวจสอบ ติดตาม ว่าพุทธศาสนาของเรายังไม่เข้มงวดเท่ากับคริสต์จักร หากบาทหลวงคนใดในคริสต์จักรประพฤติผิด จะมีกองตรวจสอบ มีคนมาติดตามจนรู้เรื่องรายละเอียดอย่างถูกต้อง ปัญหาพระนอกลู่นอกทางของคริสต์จักรจึงไม่มากเท่ากับปัญหาพระในพุทธศาสนาของเราที่สำคัญตรงนี้เป็นต้นเหตุ คนที่จะมาบวชเป็นบาทหลวงได้นั้นจะต้องมีการคัดเลือก
ตรวจสอบ มีขั้นตอนของระยะเวลา ตรวจสอบอย่างเป็นขั้นเป็นตอนว่าจะผ่านหรือไม่ ผมยลุกคลีกับทางด้านนักบวชสมัย ตอนอายุ 10 กว่าขวบ เขามีระเบียบค่อนข้างมากเลยทีเดียว ฉะนั้นคนที่จะกว่าจะก้าวมาเป็นพระหรือบาทหลวงได้ ย่อมมีมาตรฐานสูง หากเปรียบเทียบกับพระของเราที่ใคร ๆ ก็บวชได้ ไม่ได้มีการตรวจสอบอะไรมากมาย จนทำให้มาตรฐานของพระไทยไม่ค่อยสูงเท่าที่ควร  ฉะนั้นโอกาสที่จะสร้างปัญหาก็มีมากกว่า เท่าที่สำคัญคือการตรวจสอบการติดตามหรือการลงโทษของพระไทยยังไม่เด็ดขาดพอที่จะทำให้คนเกรงกลัว พุทธศาสนาของเราวันนี้จึงมีคนแอบใช้ยูนิฟอร์มพระกระทำให้พุทธศาสนาของเราเสื่อมลงไปทุกวัน ๆ หากเราจะคิดตั้งกระทรวงพุทธศาสนา โดยที่โครงสร้างของเรายังเป็นแบบเดิม ผมคิดว่าไม่น่าจะช่วยอะไรได้เท่าไหร่ เราจะต้องเริ่มกันที่รากเหง้าก่อน ต้องเริ่มกันที่ระบบการควบคุมดูและพระภิกษุของเราให้มีมาตรฐานมากกว่าที่มีอยู่กันในทุกวันนี้เสียก่อน

คุณกิตติพัฒน์ ถามว่าคุณวิกรมมีแนวคิดและคำแนะนำอย่างไร ในการพัฒนาพลังงานอิสระหรือ Free Enegy อย่างจริงจัง เป็นไปได้ไหมที่มูลนิธิอมตะจะสนับสนุน ถ้าได้ต้องทำอย่างไรบ้างครับ

ตอบ คำว่าพลังงานอิสระ คือพลังงานสะอาด พลังงานธรรมชาติ ที่มากกว่า Green Enegy เป็น White Enegy ก็คือไม่ต้องใช้วัตถุดิบเลย แต่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก ๆ กับการทำอย่างนี้ โลกเรานี้เดินมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนเรื่องพลังงาน ไม่เกินอีก 30 ปี หรืออย่างช้าสุดไม่เกิน 50 ปีเราจะไม่มีน้ำมันใช้แล้ว ที่สำคัญคือ
การใช้น้ำมันหรือถ่านหินล้วนสร้างปัญหาเรื่องโลกร้อนที่กำลังทำลาสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกนี้ มนุษย์อยู่ในขั้นวิกฤตทุกอย่างเลย หากยังไม่สามารถหยุดโลกร้อนได้ เพราะประชากรของเราจะลำบาก เพราะว่าประชากรของเราตอนนี้มีถึง 7 พันล้านคน ต้องกินต้องใช้ ต้องพึ่งน้ำมันวันนี้ถึง 87 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ตรงนี้เป็นประเด็น การใช้พลังงานอิสระ พลังงานแสงอาทิตย์ Sola Cell, พลังงานลม กังหันหมุน หรือแม้กระทั่งพลังงาน้ำจากเขื่อนเพื่อมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดต่อโลกในปัจจุบันและอนาคต เพราะพลังงาน 3 อย่างที่ผมเอ่ยมาไม่ได้สร้างมลพิษมลภาวะใด ๆ ต่อโลกเลย มนุษย์ทั้งโลกจะต้องหยุดทำร้ายธรรมชาติจากการใช้ชีวิตการกินอยู่ในปัจจุบัน ทางรอดของโลกคือการไม่สร้างก๊าซเรือนกระจก ผมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาว่าโลกกำลังเดินไปถึงจุดวิกฤตแล้ว ทุกอย่างในโลกไม่หมุนไปตามฤดูกาลเหมือนเช่นอดีตอีกแล้ว ร้อนก็ร้อนมาก จนกระทั่งไฟไหม้ หน้าหนาวก็หนาวเกินไป หน้าฝนฝนก็ไม่ตก นี่คือวิกฤตที่มนุษย์จะต้องช่วยแก้ไขกัน มูลนิธิอมตะในปัจจุบันทำแต่เรื่องหนังสือ เรื่องศิลปะ และเรื่องสิ่งแวดล้อมในนิคมฯ เราเป็นหลัก ปัญหาคือเรื่องงบทั้งหมดมาจากผมและครอบครัวจึงมีจำกัดมาก เราอยากจะทำ 3 อย่างนี้ให้ครบและสำเร็จเสียก่อน แล้วค่อยไปว่าเรื่องอื่นกันใหม่อีกทีครับ

คุณพรักอินทร์ จินาพันธ์ อ่านคุณแม่ท้องแก่ขับรถไล่ตามรถคนร้ายเพื่อช่วยเหลือหญิงแปลกหน้าแล้ว
อยากฟังมุมุมองคุณวิกรมว่าเราจะปลูกฝังจิตใจที่ยิ่งใหญ่แบบนี้อย่างไรให้เกิดขึ้นมาก ๆ ในสังคมไทยของเรา

ตอบ ผมเชื่อและมั่นใจได้ล้านเปอร์เซนต์ เรามีคนมีจิตใจกล้าหาญมีคนที่ทำดีต่อสังคมมากมายเหมือนเช่นคุณแม่ท้องแก่ ปัญหามาจากสื่อไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข่าวคนดี คนทำความดี ถ้าเกิดว่าเอาข่าวคนดัง ไม่รู้ทำอะไร มีข่าวของแกได้ทุกวันทุกคืน ไปทำอะไรหน่อย ตรงนั้นก็เป็นข่าว เพราะเขามีงบโฆษณาอยู่ในมือ หรือข่าวดาราคนนั้นไปชอบคนนี้ เป็นค่านิยมของคนทำข่าวหรือสื่อของเรา ผมอยากให้คนเสนอข่าวคนทำดี ฮีโร่ สร้างวีรกรรมที่ดีงามกับสังคมให้มากกว่านี้ เผื่อจะได้เป็นข้อคิดเป็นข้อมูล
เป็นแบบอย่าง ก่อให้เกิดเป็นกระแสเกิดเป็นค่านิยมที่จะทำให้คนอื่นๆ ในสังคมทำตามในสิ่งที่ดี ๆ กันบ้าง
ผมเชื่อเรามีคนมีจิตใจดีงามเยอะแยะที่อยากจะทำดี ที่อยากจะช่วยเหลือสังคม (เมื่อเช้านั่งรถเมล์มา คุณป้าข้าง ๆ อ่าน "อาสากาชาด" ในสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ) http://www.google.co.th/search?hl=th&source=hp&q=%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94&aq=f&aqi=g1&aql=&oq=&gs_rfai=
 การได้เรียนรู้ข้อคิดจากคนที่เป็นฮีโร่จากสื่อต่าง ๆ ที่เสนอกันมากขึ้นหน่อย ย่อมทำให้คนอยากทำดีกันมากขึ้นอย่างแน่นอน เช่นส่งข่าว forward mail เอาข่าวดี ๆ ข่าวตัวอย่าง ผมอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม
เอาข่าวดี ๆ ข่าวตัวอย่างให้ผู้อื่น แทนที่จะเป็นเรื่องนินทา เรื่องไม่ดี ไร้สาระ ข่าวสารกว่าครึ่งในสังคมไทยเป็นข่าวที่ไร้สาระ ทำให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ถ้าเรารับรู้แต่เรื่องแบบอย่างที่ดีดี ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเสมอ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครย่อมช่วยกันทำได้ และทำจนกระทั่งเกิดเป็นกระแสของสังคมที่ดี สิ่งที่ดี ๆ ย่อมจะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนครับคุณวิชัยครับ (เริ่มร้อนแล้วครับ)

คุณวสันต์ วานิช อายุ 22 ปี ยังเรียนไม่จบ เปิดบริษัททางด้านการตลาด ผลิตสื่อโฆษณา มีพนักงานประจำอยู่ 15 คน ที่ไม่ประจำอีกนับ 10 คน ผมเริ่มต้นจากติดลบแล้วมานับศูนย์ ตอนนี้มีปัญหาขาดแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจจนทำให้ผมไม่มีไอเดียในการบริหาร รบกวนของคำแนะนำจากคุณวิกรมว่า
ผมจะฝ่าปัญหานี้ไปได้อย่างไรครับ

ตอบ คุณลีต้องเรียนให้เยอะ ๆ และมีไอเดียในการบริหาร จะได้เกิดความคิด เกิดวิสัยทัศน์ เอาตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวผม ผมเป็นเถ้าแก่ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ตอนนั้นมีร้ายขายถั่วคั่วเอง ผมสนุกกับการค้าขาย
จะใช้เวลาว่างในการเรียน เสาร์ อาทิตย์ เย็น ๆ กลางคืน หรือปิดเทอมไปทำธุรกิจ ผมพยายามไม่ให้กระทบต่อการเรียนหนังสือ ตอนผมจบปริญญาตรีเมื่อ 35 ปีที่แล้ว พยายามจะไปต่อปริญญาโท เพราะผมคิดว่านี่สิ่งที่จะทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นได้ แต่ขอทุนการศึกษาไม่ได้ ก็เลยต้องกลับมาหาเงินไปเรียนหนังสือ ในความคิดของผมถึงแม้ทำธุรกิจก็จะใช้เวลาว่างอันนั้นจะทำให้เรามีกำลังใจ แต่เราจะต้องแยกแยะกันว่าตอนเด็กต้องหาความรู้ให้มากที่สุด เราต้องเรียนก่อนรู้ ต้องมีความรู้ ความสามารถก่อนที่จะไปทำงาน เมื่อเป็นอย่างนี้ เวลาทำงานก็จะมีผิดพลาดน้อยก็จะมีความสามารถสูง คนเราถ้ามีความรู้เยอะๆ มีวิสัยทัศน์มากกว่าคนที่เรียนมาน้อย เรียนรู้ไม่เยอะ การเรียน เราต้องเรียนวิชาที่เราชอบ เป็นวิชาที่มีตลาด เมื่อเราจบไปแล้ว แล้วก็ทำธุรกิจจากการเรียนอันนี้ได้หรือทำประโยชน์ได้มากที่สุด ผมอยากจะแนะนำให้คุณลีทำเรื่องในการเรียนให้ดีที่สุดก่อน วันนี้เราใช้เวลาว่างจากการเรียนในวันเสาร์ อาทิตย์ ปิดเทอมาทำธุรกิจก็ไม่เป็นไร วันนี้ต้องยึดการเรียนเป็นหลัก อย่าจับปลาหลายมือ ทุกอย่างต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน หากเราตั้งใจ ทำงานก็จะมีคุณภาพ เราจะเรียนได้ดี คนเก่งสามารถที่จะทำงานได้ดี และมีความสำเร็จสูง โอกาสร่ำรวยในอนาคตย่อมมีแน่นอน

อีกไม่กี่เดือนจะเดินทางไปต่างประเทศแล้ว 022481657
024221965  มือถือ 0865400007 fax 022481766   ceofanclub@yahoo.com
(อยากได้มั่งจังเลยซีดี แต่ไม่มีคำถามอ่ะค่ะ สงสัยต้องเสียสตางค์ซื้อแน่เลย พักนี้ขี้เหนียวค่ะ)

คุณมธุรดา อยากเห็นคุณพ่อคุณวิกรมกับคุณนิรุตติ์ ได้พูดคุยกันในรายการทีวีสักรายการหนึ่ง เพื่อเป็นการสะท้อนความรู้สึกของคุณพ่อคุณวิกรมและไม่เป็นการฟังความข้างเดียว เพราะว่าตอนละครไฟอมตะออกอากาศ มีเพื่อนดิฉันพลอยไม่ชอบคุณนิรุตติ์ด้วยว่าเป็นคนใจร้าย แนวคิดนี้พอจะเป็นไปได้ไหมคะคุณวิกรม

ตอบ จริง ๆ แล้ว คำว่าละคร ก็เป็นละคร ซึ่งว่าไปแล้วในฐานะที่เป็นคน edit ข้อมูลขั้นสุดท้าย รู้ว่าการที่จะเป็นละครได้จะต้องสร้างสีสัน จิปาถะ อย่าไปซีเรียส ในความเป็นจริง เมื่อ 2 เดือนก่อน รายการเจาะใจ รายการวูดดี้เกิดมาคุย (อันนี้แถมค่ะ http://www.hellomagazinethailand.com/hello/ ) ติดต่อคุณผมมาพูดความในใจในที่สาธารณะโดยเฉพาะเรื่องที่ผมเขียนในหนังสือหรือเนื้อหาสาระในละคร ว่ามีอะไรบ้างที่อยากจะพูด จริงหรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่หรือมีเหตุผลอื่นใด แต่คุณพ่อไม่ยอมมาเลย คุณโต๊ะ ผจก.ฝ่ายการผลิต รายการวูดดี้ พบพ่อผม 2-3 ครั้ง แต่พ่อก็ไม่ยอมออกรายการของวูดดี้ ที่จริงผมก็อยากให้คุณพ่อออกมาพูดอะไรบ้าง ไม่เช่นนั้นเหมือนผมพูดอยู่คนเดียว หลาย ๆ คนมองว่าเหมือนเอาพ่อมาประจาน ซึ่งเป็นการไม่ยุติธรรมกับสังคม การได้สะท้อนความคิดของคนทั้งสองฝ่าย ย่อมทำให้คนเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น แต่พ่อไม่ยอมพูด เป็นความคิดที่ดีครับ ถ้าพ่อและคุณนิรุตติ์ออกรายการพร้อมกันน่าจะดี ผมคิดว่าคงจะมีเนื้อหาสาระที่จะสะท้อนอดีตในความเป็นพ่อได้ดี เพราะว่าคุณนิรุตติ์แสดงเสียสุด ๆ จนใคร ๆ คิดว่าเป็นพ่อผมจริง ๆ ผมจะรอดูว่ามีโอกาสไหมที่จะเอาสองคนนี้มาออกรายการ ถ้ามีโอกาสนั้น จะแจ้งแฟนรายการทราบ จะได้มาดูคุณพ่อผมกับคุณนิรุตติ์กัน

คุณศศิธร มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว ดิฉันมีความเห็นไม่ตรงกับคุณแม่หลายเรื่องควรทำอย่างไร

ตอบ โลกวันนี้มันเปลี่ยนทุกนาที ต้องเห็นใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ พวกเขาอาจมีบางเรื่องยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันเช่นพวกเรา ผมเชื่อเรื่องความเข้าใจ ว่าถ้าหากเราทุกเข้าใจทุกเรื่องอย่างถูกต้องอย่างมีเหตุผลแล้ว ความต้องการคงคล้ายกันก็คือการอยากจะมีความสงบสุข ผมเชื่อว่ามนุษย์ต้องการความสงบสุข ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นแม่หรือเป็นลูกหรือเป็นใครก็แล้วแต่ ตัวผมเองก็มีปัญหากับคุณแม่เรื่องความคิดไม่ตรงกัน ผมคุยกับแม่ผม โอ๊ย..ย..ย.. สารพัดคุย นั่นแหละคือเรื่องความคิดไม่ตรงกัน ผมก็พยายามผมถ้าไปเกิดในยุคของคุณแม่ อะไรก็ไม่มี ทุกอย่างก็เกือบร้อยปีที่แล้ว ฉะนั้นผมก็คงไม่ต่างอะไรกับคุณแม่ผมแน่นอน ผมจึงต้องให้โอกาสคุณแม่ทำความเข้าใจแบบเป็นขั้นเป็นตอน เช่น
เรื่องลูกเมียน้อยที่แม่ผมไม่ยอมรับเลยเพราะมองว่านั่นคือต้นเหตุของปัญหา แต่ผมก็ค่อย ๆ อธิบายว่าผมเป็นพี่คนโตต้องรักน้องทุก ๆ คน ไม่ว่าน้องคนนั้นจะมาจากแม่คนไหน ก็โดยพยายามยกตัวอย่างว่าถ้าแม่เป็นผม แม่จะไหมล่ะ และก็อธิบายด้วยเหตุผลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน สุดท้ายแม่ค่อย ๆ เข้าใจ
ความมีเหตุผล และก็ค่อย ๆ เริ่มมีความคิดเช่นเดียวกับผม ทุกอย่างอยู่ที่ความเข้าใจอยู่ในเหตุผลในความเป็นจริง ทุกคนก็จะปฏิบัติเช่นเดียวกัน เราจะต้องเข้าใจและก็ต้องเห็นใจเข้าใจผู้ที่เติบโตมาในต่างยุค แต่ความรักความเป็นแม่ลูกคือพื้นฐานของความเป็นจริงที่จะทำให้เกิดความสงบสุข ถ้าหากทุกคนได้พูดคุยกันอย่างถูกต้องล่ะครับ
คุณแม่ยุคใหม่ คุณวิกรมมีคำแนะนำอย่างไรเกี่ยวกับการเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ เพราะลูกสาวเรียนจบปริญญาตรีสาขาดังกล่าว และกำลังเรียนต่อในระดับปริญญาโท อยากขอคำแนะนำว่าควรจะเรียนต่อในสาขาใดที่จะรองรับไปทำงานได้ในอนาคต

ตอบ เมืองไทยเป็นครัวโลก อาหารมีความสำคัญต่อโลกในอนาคตมากเหลือเกิน ผมเชื่อว่าประชากรของโลกจะเพิ่มถึง 10,000 ล้านคน ในอีกสัก 30 ปีข้างหน้า ฉะนั้น คนที่เรียนเทคโนโลยีชีวภาพจะสามารถทำงานด้านการผลิตอาหารในประเทศไทยและในภูมิภาคนี้ได้อย่างกว้างขวางเลยทีเดียว เพราะว่าเราเป็นพื้นที่ที่ผลิตอาหารแห่งหนึ่งของโลก แม้แต่เมืองวิทยาศาสตร์อมตะก็จะเน้นเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเรื่องแรก ผมคิดว่าถ้าลูกสาวกำลังเรียนต่อปริญญาโทในสาขาเดียวกันก็จะทำให้เขามีความรู้ในเชิงลึกมากขึ้น ส่วนถ้าอยากจะเพิ่มเติมไปเรียนต่อในด้านบริหารอีกปริญญาหนึ่ง โอ๊ย..ย..เดี๋ยวนี้เด็กมันเรียนเก่ง จะทำให้มีความรู้ด้านบริหารควบคู่กับไปกับทางด้านเทคนิค ฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่แค่ในห้องแลบอย่างเดียว ลูกสาวก็จะมีความรู้ทำงานทั้งในด้านการบริหารและทำงานในห้องแลบได้ เมืองไทยขาดคนมึความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เยอะจังเลยนะ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยพัฒนาไม่ทันญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฉะนั้น อนาคตไทยจะต้องมีคนรุ่นหลังที่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นเพื่อที่จะได้ตามเขาทัน
คุณพชระ ผมสงสัยครับว่าทำไหมชาวนาเรายังยากจน คุณวิกรมคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ชาวนาไทยยังไม่รู้
ถ้าจะยกระดับความเป็นอยู่ของพวกเขาให้ดีขึ้น คุณวิกรมจะแนะนำอะไรให้กับชาวนา

ตอบ ผมพอดีเป็นชาวไร่เก่า พอพูดได้ ของใกล้ตัว พูดง่ายหน่อย อย่างอื่นอาจจะผิดพลาด ท่านก็ฟังหูไว้หู งานนี้ปัญหาชาวนาชาวไร่ไทย ปัญหาแรกคือพวกเขามีการศึกษาน้อย ฉะนั้นก็เลยไม่มีความรู้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพทำได้แค่ปลูกข้าวทำไร่เท่านั้นเอง 2.รายได้จากการเกษตรต่ำ เพราะว่าเราขายแค่วัตถุดิบ ฉะนั้น เราควรเพิ่มมูลค่าไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือพืชไร่ ไม่ว่าจะเป็นการทำเป็นสินค้าสำเร็จรูป
คือทำอาหารที่ทานได้เลย ทีวีดินเนอร์ ก็จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 3.ชาวไร่ชาวนาไทยไม่มีความรู้ เงินจึงไม่เยอะ การที่จะทำอะไรที่จะเพิ่มมูลค่าได้ด้วยการสร้างเป็นโรงงานหรือสร้างอะไร ก็ยากแสนเข็ญ คนที่จะมาทำก็คือรัฐบาล แค่รัฐบาลสร้างนโยบาย ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ผมเห็นผู้นำชอบสร้างงบ มีผลประโยชน์ในเรื่องงบ สร้างนโยบายไม่ต้องเสียสตางค์ ให้ผู้ชำนาญการหรือเอกชนทั่วโลก เช่น เดลมอนเต เนสท์เล่ ซีพี เข้ามาสร้างระบบการทำเกษตรกรรมแบบครบวงจร ผลิตอาหารสำเร็จรูป (ฟรีซดรายฟู้ดใช่ไหมคะ) เพื่อจะส่งขายไปทั่วโลก ไทยสามารถที่จะเป็นครัวโลกให้มีมูลค่าได้ ถ้าชาวนาขายของได้กว้างขึ้น ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นก็จะมีรายได้สูงขึ้น เพราะเรามีราคาขายเพิ่มขึ้น ประเทศไทยต้องเข้าใจว่า
สิ่งทึ่เกษตรกรไทยทำนั้นตอนนี้ล้าสมัย ปลูกข้าวต้องใช้น้ำอย่างมหาศาลกว่าจะปลูกข้าวได้สักหนึ่งไร่
ต้นสูงในการเพาะปลูกสูง ราคาขายก็ได้แค่เพียงราคาวัตถุดิบซึ่งราคาต่ำ ๆ ทำให้ชาวไร่ชาวนาจนสุด ๆ เมื่อก่อนผมเป็นชาวไร่ จนอ้วกเลยนะ ทุกอย่างมันจะจบที่นโยบายของรัฐบาลว่ามองโลกเศรษฐกิจของอาหารเป็นหรือเปล่า รู้จักองค์กรเก่ง ๆ ที่มีความรู้ทางด้านการเกษตรครบวงจรได้หรือไม่แค่นั้นเอง ปัญหาชาวนาในประเทศไทยก็จะหายจนเองล่ะครับ เรื่องนี้คล่อง แหมเรื่องความจนความรวยของชาวไร่ชาวนา

คุณนันทพร จะทำอย่างไรให้โจรหมดไปจากประเทศไทย มาตรการใดที่คุณวิกรมคิดว่าใช้ได้ผลและรวดเร็วครับ

ตอบ โจร สงสัยวันนั้นพูดเรื่องประหาร ๆ ยังมีควันหลงอยู่ ปัญหาเรื่องโจร ๆ ท่านผู้ฟังจะเห็นด้วยหรือไม่ ผมไม่เคยเป็นโจรแต่มีความคิดกำลังจะฝึก (ไอ๊หยาเอางั้นหรือคะ) สาเหตุหลักอันแรก เศรษฐกิจไม่ดี ผมคิดว่าโอกาสที่คนจะเป็นโจรก็มีเพิ่มขึ้น ถ้าคนเรากินอิ่มนอนหลับ ผาเชื่อว่าก็คงไม่มีใครอยากเป็นโจร ถ้าคุณวิชัยอยู่เย็นเป็นสุข มีงานทำ คุณวิชัยอยากเป็นโจรมั้ย (ไม่อยากเป็นฮะ แต่อยากมีแฟนครับ) โจรถือเป็นธุรกิจการหารายได้ชนิดหนึ่ง ซึ่งคนนั้นคงจะไม่รู้จะไปทำอะไรดี เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ถ้าทุกคนมีรายได้ดีอยู่เย็นเป็นสุข โจรจะหมดไปตามธรรมชาติ 2.อาจจะมีคนนิสัยห่วย ๆ ชอบเป็นโจรลักเล็กโขมยน้อย ถึงแม้เศรษฐกิจดี แต่ชอบมีสันดานเป็นโจร ชอบเป็นนักเลง ชอบเอาเปรียบ ชอบข่มเหงชาวบ้าน วิธีแก้ สังคมจะต้องมีกฎหมายที่เข้มงวด เด็ดขาดมีศาลยุติธรรมที่โปร่งใส่ เอาแบบเปาบุ้นจิ้น และลงโทษแบบเฉียบขาด บางคดีควรต้องประหารก็ต้องทำ ผมไม่เชื่อว่าถ้าศาลเข้มแข็ง กฎหมายเข้มงวดบนพื้นฐานของความถูกต้อง แล้วจะมีคนกล้าฝ่าฝืนตั้งตัวเป็นโจรทำร้ายฆ่าฟันผู้คน การที่ประเทศไทยมีปัญหาโจร เพราะ1.ปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี 2.ปัญหากฎหมายไม่เข้มงวดเท่าที่ควร ดูสิงคโปร์ เศรษฐกิจดี มีกฎหมายประเทศ ทำผิดถึงเวลาก็เก็บเลย ผมไม่ค่อยเห็นมีโจรในสิงคโปร์ อาชญากรรมของประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศต่อปี มีสถิติเก่ามีแค่ 500 เคส ส่วนใหญ่มาจากแรงงานต่างชาติ ทุกอย่างอยู่ที่การบริหารและการมีวิสัยทัศน์ของผู้บริหารประเทศทั้งสิ้นครับคุณวิชัย

คาถาชีวิต เกิดจากความรู้สึกผม ฟังหูไว้หู ว่าในความสงบ จะเกิดความสุข ในความสุขจะเกิดความฝัน ในความฝันทำให้เรามีเกิดกำลังใจ มนุษย์ทุกคนเราต้องมีความฝันกัน เพราะไม่ต้องเสียสตางค์ เพราะว่าเกิดขึ้นกับตัวผม ส่วนใหญ่เกิดจากในชีวิตประจำวันของผมผมรู้สึกอย่างไร เห็นอะไร เอาตรงนั้นมาเป็นคาถาชีวิต บางทีอาจจะไม่ถูกต้อง ขออภัยด้วยนะครับ

คุณกรรเชียง วิกฤตการณ์น้ำมันของประเทศไทย ทำไมต้องไปอิงกับสิงคโปร์ด้วยไม่เข้าใจ
ตอบ อะไรที่เราผลิตไม่เยอะ และคนก็ใช้ไม่แยะ เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของสิ่งนั้น ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เงินตราว่าทำไมคนทั่วโลกถึงใช้เงินสกุลดอลลาร์เพราะว่าเศรษฐกิจอเมริกัน 1/4 ของโลก น้ำมันก็เช่นกัน
สิงคโปร์มีโรงกลั่นใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีคลังน้ำมันที่เติมให้กับเรือใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเช่นกันอยู่ที่สิงคโปร์ ฉะนั้นการที่เราจะอ้างอิงราคาน้ำมันว่าเท่านั้นเท่านี้ ก็ต้องไปดูประเทศที่เขามีกำลังการผลิตใหญ่ เพราะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมทางเรือของภูมิภาคนี้ เราเลยต้องไปใช้ราคาน้ำมันของสิงคโปร์เป็นแหล่งอ้างอิง

คุณไพฑูรย์ อยากเปลี่ยนชีวิตในการลงทุน ผมอยากทราบการลงทุนเรื่องตลาดหุ้น คือไม่มีความรู้ด้านนี้ จะเริ่มตลาดอย่างไร จะมองตรงไหนก่อน จะลงทุนแบบไหนเอาแบบนิ่ม ๆ ไปก่อนครับ

ตอบ ตลาดหุ้น ผมมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่าที่ดูจากตัวเองนะ คือตลาดหลักทรัพย์ฯ ราคาขึ้นลงมี 2 สาเหตุ คือ 1.สาเหตุผลประกอบการของประเทศไทยดีหรือไม่ และผลประกอบการของประเทศไทยก็ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของประเทศดีหรือไม่ของสังคมด้วย อันนี้คือปัจจัยหลัก ๆ ข้อแรก ถ้าประเทศไทยมีผลประกอบการดี มีเสถียรภาพดี คนสนใจเข้ามาลงทุน ตลาดหุ้นก็จะดีขึ้น 2.ขึ้นอยู่กับนักลงทุนที่มีบทบาทในการลงทุนในตลาดหุ้น ถ้ามีนักลงทุนที่มีอำนาจมากคือนักลงทุนต่างประเทศ ส่งเงินเข้ามาลงทุนในไทยเรื่อย ๆ ตลาดหุ้นไทยขึ้นแน่ ๆ เช่น หุ้นอมตะ ตอนนั้นขึ้นไปถึง 22 บาทต่อหุ้น เพราะว่ามีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นในอมตะเกือบ 60% แล้วพอวิกฤตเศรษฐกิจโลกไม่ดีปั๊ป เขาก็เอาเงินกลับประเทศเขา ตอนนั้นเขาขายหุ้น หุ้นอมตะก็ร่วงแบบนกปีกหักเลย เป็นเพราะว่าต่างชาติ dump ขาย ลงมาเหลือ 30%  เลยลดลงมาหลายเท่า ถ้าเราเห็นว่าเสถียรภาพดี ผลประกอบการดี และมีนักลงทุนต่างชาติจะเข้ามา ถึงตอนนั้นก็ซื้อไว้ ถ้าเห็นว่านักลงทุนต่างชาติจะออกไป รีบขายทิ้งซะ ผมซื้อที่ 18 บาท ตอนนี้ก็ยังคาอยู่เลย (น่าสงสารจังค่ะ หายไปหลายพันล้านเลยใช่ไหมคะ) เหลือประมาณสัก 10 บาทเศษ ๆ เท่านั้นเอง
ขอให้มึความสุข Happy for Your Weekend
ขอบคุณคุณวิกรม คุณวิชัย และทีมงาน CEO VISION ทุกท่านค่ะ

เว็บสนับสนุนทางกำลังใจและความรู้

เว็บของอาจารย์สุรักษ์ สุขเสวี ผู้แต่งเพลง "วิมานดิน" เจ้าค่ะ
http://www.ifeelfinemusic.com/web/index.php

เว็บของอาจารย์วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออาณาจักร "อมตะนคร" ค่ะ
http://amatafoundation.org/
สนใจสั่งซื้อหนังสือ "ผมจะเป็นคนดี" ภาคไฟฝันวันเยาว์ และ ภาคก่อร่างสร้างธุรกิจ

Cheery Black

"Magic Love"
http://www.youtube.com/watch?v=g_Yvhl-F2M0
Magic Love - Cherry Black [Full Song] (ปุย - แป้ง the star Star4)
http://www.youtube.com/user/MrMonoMusic

จั๊ก ชวิน

"รักครั้งแรก"
http://www.youtube.com/watch?v=GlV76hP7k7M&feature=related
http://www.youtube.com/user/fatgy

http://www.ifeelfinemusic.com/web/index.php

วงชาตรี

"รักครั้งแรก" ชาตรี
http://www.youtube.com/watch?v=du76-G3J7E4
รักครั้งแรก ชาตรี (โลกดนตรี) tartechnical
http://www.youtube.com/user/tartechnical

พี่ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว

"เฝ้าคอย" พี่ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว
http://www.youtube.com/watch?v=CWcqjSpIFFM
ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว - เฝ้าคอย
http://www.youtube.com/user/pveerana

เพลง มองโกเลีย

http://il.youtube.com/watch?v=tqLwELgmszw&feature=relate
Chandman Erdene~Ruben Baja~ Bwitch2009

http://il.youtube.com/watch?v=tqLwELgmszw&feature=relate
ขอบคุณผู้แปล ~คุณพิภพ~
บอกว่าเป็นเพลงภาษามองโกเลีย
ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ของความรักและความผูกพันกับคนด้วยกันและธรรมชาติ
คนแต่งชื่อ รูเบน บายะ แต่งให้ลูกสาว
ส่วนนี่เป็นเนื้อเพลงและคำแปล

Apa,the sun is rising did the moon go home?
พ่อจ๋า พระอาทิตย์ขึ้น แล้วพระจันทร์กลับบ้านหรือเปล่าคะ

Emmm,right
ใช่จ๊ะ

Stars comes out where is the sun?
เมื่อดวงดาวโผล่ออกมาแล้วพระอาทิตย์ไปไหนคะ?

he is in the sky
เขาอยู่ในท้องฟ้าจ๊ะ

Why I can't find him?
ทำไมหนูถึงหาเขาไม่เจอคะ?

Because he went home
เพราะเขากลับบ้านไปแล้ว

Sun stars and moon are a happy family
พระอาทิตย์ ดวงดาว และพระจันทร์เป็นครอบครัวที่มีความสุข

Ama,when the leaves turns green how the flower goes out?
แม่คะ เมื่อใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วดอกไม้ออกดอกได้อย่างไรคะ?

She's waiting for summer
ดอกไม้กำลังรอให้ฤดูร้อนมาถึง

Flower turns red can I pick up the fruits?
เมื่อดอกไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วหนูจะเก็บผลไม้ได้ไม๊คะ?

Waiting for the fall
ต้องรอฤดูใบไม้ร่วงก่อนจ๊ะ

Fruit in the soil can she Germinates?
ผลไม้ในผืนดินแตกหน่อออกมาได้ไม๊คะ?

It will grow up
มันจะเติบโตขึ้น

flower leaf fruit are a happy family
ดอกไม้ ใบไม้ และผลไม้เป็นครอบครัวที่มีความสุข

Baby
ลูกจ๋า

Ah?
คะ?

Papa shines Mama like the sunshine
พ่อให้แสงสว่างแก่แม่เหมือนดังดวงอาทิตย์

Then what about Mama?
แล้วแม่ล่ะคะ?

Mama Serves as contrast of Papa like leaf to flower
แม่เป็นเสมือนสิ่งที่ตรงข้ามกับพ่อเหมือนกับที่ใบไม้มีต่อดอกไม้

Then what about me?
แล้วหนูล่ะคะ

You will grow up like a little seed
หนูก็จะโตขึ้นเหมือนกับเมล็ดพันธุ์เล็กๆ

Ahhahaha
ค่ะ

We three are a fortunate happy family
เราสามคนจึงเป็นครอบครัวที่มีความสุขและมีโชค

ขอบคุณเจ้าของบล็อกและคุณสุทธิชัย หยุ่น ค่ะ
http://www.oknation.net/blog/print.ph...

เพลงจีน

ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ (ผู้หญิงร้อง)
http://www.youtube.com/watch?v=z67AA0_HapQ&feature=related
ขอบคุณ http://www.youtube.com/user/Rainyseasonja

A moment of romance : ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ 1

เวอร์ฯ นี้ เสียงดัง เพราะฟัง
http://www.youtube.com/watch?v=kKRuOaeWlOM&feature=related
ขอบคุณ http://www.youtube.com/user/robmerlin

เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (ฟรานซิส ยิป) จำไม่ได้แล้วว่าพี่เค้าเป็นคนร้อง
http://www.youtube.com/watch?v=93natXxyPF8&feature=related
http://www.youtube.com/user/chakrity
ขอบคุณทุกเว็บคร้าบ พี่จักรกฤษริตี้ นี่ขยัน upload จัง ขอบคุณคร้าบ

เวอร์ฯ แสดงสด เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ฟรานซิส ยิป
http://www.youtube.com/watch?v=7baWptSKvRs&feature=related
http://www.youtube.com/user/blazer8888
เพลงอมตะ
ไม่ยักกะมีเพลง "เจ้าพ่ออมตะนคร" อยากได้ ๆ ๆ ๆ